เมื่อเรามองเพ่งโทษคนอื่น ก็มักจะลืมมองตัวเองและมองไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง แต่กลับเห็นข้อบกพร่องของคนอื่นมากเหลือเกิน ซึ่งผู้เป็นบัณฑิตจะเพ่งโทษของตนเอง พยายามหันกลับมาดูตัวเอง หาข้อบกพร่องผิดพลาดและแก้ไขปรับปรุงต่อไป ส่วนคนพาลจะเพ่งโทษของคนอื่น จับจ้องหาข้อผิดพลาดของคนอื่น โดยไม่สนใจตนเอง เฝ้าคอยนินทาแต่คนอื่น และลืมว่าตนเองมีข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงที่ต้องรีบแก้ไข นั่นคือ ใจที่เพ่งหาข้อผิดพลาดของคนอื่น
มีหลายสิ่งรอบตัวที่คอยชักพาจิตใจให้จดจ่อในเรื่องนอกตัวอยู่แล้ว และคนเราก็ยิ่งคอยแต่ส่งจิตออกนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ยิ่งมองไม่เห็นตัวเองร่ำไป โดยเฉพาะเวลาเกิดหงุดหงิดขัดเคืองใจ จิตใจก็คอยหาเป้าสำหรับพุ่งหอกคือโทสะเข้าใส่อย่างเดียว
พิจารณาสักนิดหนึ่งว่า ก่อนแต่จะตำหนินินทาหรือด่าว่าใคร ให้เหลียวกลับมาดูตัวเองก่อน เพราะมือของเราที่ชี้ไปยังผู้อื่น เราใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียว แต่อีกสามนิ้วที่เหลือ (ไม่รวมนิ้วหัวแม่มือ) จะชี้มาที่ตัวเราเอง แล้วถ้าเราชี้หน้าด่าคนอื่นล่ะ เราก็ด่าตัวเองมากกว่าคนอื่นนะ
ไม้ขีดก่อนแต่จะจุดเทียนหรือเผาสิ่งอื่นให้มอดไหม้ไป มันจะเผาตัวเองให้ไหม้ก่อนเสมอ ไฟคือการเพ่งโทษและการโกรธคนอื่น ซึ่งเราพร้อมจะสาดความร้อนใส่นั้น ก็จะเผาผลาญจิตของเราให้เร่าร้อนก่อนเช่นกัน
ถ้าเราทำผิดจงยอมรับผิดซะ
ไม่ใช่โยนความผิดไปให้คนอื่น
เรา(ชี้นิ้ว)หาว่าคนอื่นทำผิด
เรารู้อยู่เเก่ใจว่าใครผิด
หนึ่งนิ้ว(นิ้วชี้)ชี้กล่าวโทษผู้อื่น
เราชี้โทษเขาด้วยนิ้วชี้เพียงนิ้วเดียว
เเต่ลองมองย้อนกลับมา1นิ้วกำมือชี้นิ้วออกไป
เเละอีก3นิ้วมันชี้มาที่ใคร
ไปหยิบยืมมาจากเว็บอื่นครับ
(เอามาให้ได้อ่านกัน)
ในฐานะ พยาน ครับ