กสทช. เปิดโอกาสให้ฟรีทีวีทดลองออกอากาศในระบบทีวีดิจิตอล ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปลี่ยนรูปแบบ ขณะที่ ไทยพีบีเอส เป็นช่องแรก ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอล
เมื่อ วันที่ 4 มีนาคม พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กสท. มีมติให้ 6 ช่องฟรีทีวีปัจจุบัน ประกอบด้วยช่อง 3, 5, 7,9, NBT และ ThaiPBS สามารถนำสัญญาณทีวีดิจิตอลไปออกอากาศได้ทันที
โดย การออกอากาศในระบบทีวีดิจิตอลนั้น จะเป็นการทดลองออกอากาศคู่ขนานไปกับระบบทีวีอนาล็อกแบบเดิม เพื่อจูงใจการรับชมทีวีดิจิตอลของประชาชน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
- กลุ่มบริการสาธารณะ ได้แก่ ช่อง 5, NBT และ ThaiPBS สามารถใช้โครงข่ายช่องรายการจำนวน 3 จาก 12 ช่องในกลุ่มช่องสาธารณะ
- กลุ่มบริการธุรกิจ ได้แก่ ช่อง 3, ช่อง 7 และ ช่อง 9 ต้องขอใบอนุญาตในช่วงปลายปี 2556 ถึง ปี 2557
ซึ่งการที่ กสทช. ให้ฟรีทีวีทุกช่องสามารถทำเรื่องขอใบอนุญาต นำผังรายการที่เผยแพร่ในปัจจุบันในระบบอนาล็อกไปทดลองออกอากาศคู่ขนานในโครง ข่ายระบบดิจิตอลเป็นเวลา 6 เดือนนั้น คาดว่าจะเริ่มต้นได้ในช่วงเดือนเมษายน 2556
โดยสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ช่อง 5 และ NBT จะเริ่มทดลองในโครงข่ายดิจิตอลของช่องสาธารณะ ซึ่งมีทั้งหมด 12 ช่องตามที่ กสทช. กำหนด ขณะที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ช่อง 7 และ ช่อง 9 จะต้องทดลองออกอากาศในโครงข่ายดิจิตอลของช่องชุมชนไปก่อน ซึ่งจะเริ่มได้ในช่วงปลายปี 2556 หรือต้นปีหน้า (2557) เพราะไม่สามารถทดลองในโครงข่ายดิจิตอลช่องธุรกิจได้ จนกว่าได้เข้าร่วมประมูลในกลางปี 2556 และเมื่อประมูลเสร็จแล้ว การทดลองออกอากาศในโครงข่ายดิจิตอลจะต้องยุติลงทันที
สำหรับการทดลองในช่วง 6 เดือนนี้ สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบคำขออนุญาตโครงข่ายดิจิตอล รายละ 25,000 บาท และค่าใช้คลื่นความถี่อีกรายละ 62,000 บาท
กสท.สรุปช่องสัญญาณโทรทัศน์ที่เตรียมเปลี่ยนจากระบบอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิตอล จะมีทั้งหมด 48 ช่อง และเป็นช่องเอชดี (HD) 5 ช่อง โดยจะเริ่มเปิดประมูลปีหน้า (พ.ศ.2556)
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยหลังการประชุมบอร์ด กสท. ในวันนี้ (1 ตุลาคม) ว่าทาง กสท. มีมติสรุปช่องรายการดิจิตอลทีวีของประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 48 ช่อง โดยแบ่งออกได้ดังนี้
ช่องบริการชุมชน 12 ช่อง ช่องบริการสาธารณะ 12 ช่อง ช่องบริการธุรกิจในหมวดรายการเด็กและเยาวชน 5 ช่อง หมวดข่าวสารและสาระ 5 ช่อง หมวดช่องทั่วไป 10 ช่อง หมวดช่องรายการที่มีคุณภาพความคมชัดสูง (HD) 4 ช่อง โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 จะมีการให้ใบอนุญาตผู้ประกอบการโครงข่าย และดิจิตอลทีวีในกลุ่มช่องบริการสาธารณะ และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 จะเปิดให้มีการประมูลช่องรายการในกลุ่มธุรกิจ ส่วนช่องรายการบริการชุมชน จะเปิดประมูลในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ทั้งนี้ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ จะมีการนำเสนอต่อ กสทช. ให้พิจารณา และมีการกำหนดอัตราการถือครองช่องรายการขั้นต่ำโดยประเมินจากศักยภาพด้านการทำงานของผู้ประกอบการ
ขณะที่เนื้อหาที่มีการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ในเบื้องต้นอนุญาตให้สามารถทำได้ แต่ห้ามฝ่าฝืน พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37 คือรายการที่ออกอากาศจะต้องไม่กระทบกระเทือนหรือดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ แสดงออกโดยจงใจก่อให้เกิด การเหยียดหยามประเทศชาติ รัฐบาล เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือกลุ่มชนใด ลบหลู่ศาสนา ปูชนียบุคคล ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีของคนในชาติ หรือกระทบต่อสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ ขัดต่อศีลธรรม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมอันดีงาม กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ ยั่วยุกามารมณ์หรือลามกอนาจาร รวมทั้งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้พรรคการเมืองห้ามเป็นเจ้าของสื่อ
สัญญาณแบบอนาลอก เป็นสัญญาณโทรทัศน์ที่จะหมดยุคภายใน 4-5 ปีนี้ เนื่องจากประเทศไทยเราจะก้าวเข้ามาสู่ยุคโทรทัศน์แบบดิจิตอล ซึ่งผู้บริโภคที่มีความรู้ในเรื่องเทคนิคอย่างค่อนข้างจำกัดนั้น สมควรที่จะต้องหาความรู้พื้นฐาน ตลอดจนการเตรียมการในการที่จะรับสัญญาณแบบใหม่นี้
ความรู้พื้นฐานที่ผู้บริโภคควรมีไว้กับตัวนั้น ผมนำมาจากความรู้ของคณะทำงานในการเตรียมตัวการเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลของเยอรมัน เนื่องจากประเทศเยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลก่อนเราไปล่วงหน้าหลายปี องค์ความรู้ในด้านการเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนผู้ให้บริการ หน่วยงานกำกับดูแล และผู้บริโภค ประเทศเขาสามารถทำได้และทำร่วมกันได้เป็นอย่างดี เราสามารถขอหยิบยืมองค์ความรู้ของเขามาประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้ ก็จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีเป็นไปได้อย่างราบรื่น และเป็นภาระกับผู้บริโภคได้อย่างน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น
ตอนนี้เรามี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว และเป็นความคาดหวังใหม่ของสังคม โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริโภค ที่ไม่ต้องการการถูกเอารัดเอาเปรียบจากภาคธุรกิจเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา นอกจากการควบคุมกิจการในด้านนี้แล้ว ภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นกับผู้บริโภค เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลที่จะเดินเข้ามาหาเราในเร็วๆ นี้
การเตรียมความพร้อมในยุคของทีวีดิจิตอลนั้น สำหรับผู้บริโภคที่มีโทรทัศน์ที่รับสัญญาณผ่านเสาอากาศ ก็ต้องจัดหา อุปกรณ์ตัวแปลงสัญญาณที่เราเรียกว่า Set-Top-Box ที่จะแปลงสัญญาณจากอนาลอกมาเป็นดิจิตอล สำหรับทีวีที่มีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบ สการ์ต (Scart) เวลาที่เราเลือกซื้อ Set Top Box นั้น ก็จะต้องพิจารณาดูว่า มีจุดเชื่อมต่อสำหรับ การต่อผ่านแผ่น สการ์ตหรือไม่ดังรูปที่ 1
ถ้าทีวีที่ไม่มีแผ่นสการ์ต แต่มีจุดเชื่อมต่อเป็น coaxial cable ก็ต้องเลือก Set-Top-Box ที่มีตัวรับตัวเสียบดังรูปที่ 2
ในกรณีที่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นดีวีดี หรือแอมปลิฟายเออร์ การเลือกซื้อ Set–Top-Box ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า มีจุดที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง แผ่นสการ์ต และจุดเชื่อมต่อแบบโคแอกเซียลดังรูปที่3
บทสรุปผู้บริโภคต้องเตรียมการสำรวจอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นอิเลคทรอนิกส์ ที่มีอยู่แล้วในบ้าน เช่น โทรทัศน์ เครื่องเล่นวีดีโอ เครื่องเล่นดีวีดี และแอมปลิฟายเออร์ ว่า มีจุดเชื่อมต่อกี่จุด และมีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบใดแล้ว ผู้บริโภคก็ควรจะเลือกอุปกรณ์ Set Top Box ที่เหมาะสมสามารถที่จะต่อเชื่อมเข้ากับเครื่องเล่นอิเลคทรอนิกส์ ที่มีอยู่แล้ว โดยดูจากจุดเชื่อมต่อของ Set top box ว่าจะมีจุดเชื่อมต่อให้หลายจุดและเพียงพอหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาต่อในเรื่องคุณภาพของสัญญาณ และราคา
ในส่วนของ กสทช. ควรต้องกำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ Set Top Box ที่จะนำมาเสนอขายในท้องตลาด โดยกำหนดให้อุปกรณ์นั้นรองรับกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่มีอยู่ในครัวเรือนและที่ขายในตลาดบ้านเรา โดยเฉพาะการกำหนดจำนวนและประเภทของจุดเชื่อมต่อขั้นต่ำ ที่จะต้องมีจำนวนเพียงพอ เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ต้องรับภาระมากเกินไปในการจัดหาอุปกรณ์เสริมและสายสัญญาณต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการรับสัญญาณระบบดิจิตอลที่ได้เริ่มมีการทดลองออกอากาศกันบ้างแล้ว
รูปที่ 1 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นแบบแผ่นสการ์ต
รูปที่ 2 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นแบบสายโคแอกเซียล
รูปที่ 3 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นทั้งแบบสายสการ์ตและสายแบบโคแอกเซียล
เขียนโดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
www.ueberallfernsehen.de